
ปีนี้ระดับน้ำในเขื่อนใหญ่ทั้งภูมิพล และ สิริกิติ์ ใกล้เคียงกับปี 54 ที่มีภัยพิบัติน้ำท่วมใหญ่ เขื่อนภูมิพลตอนนี้มีปริมาณน้ำ 89% และ เขื่อนสิริกิต์มีความจุ 96% ยังไม่รวมเขื่อนที่กั้นลำน้ำสาขา อย่างเขื่อนแควน้อยบำรุงแดนที่เต็มความจุไป 100%
ถึงแม้เขื่อนใหญ่จะมีปริมาณน้ำมาก แต่พื้นที่รับน้ำก่อนเข้าบริเวณกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีพื้นที่รองรับได้สูงสุดถึง 1,231,405 ไร่ ข้อมูลจาก GISTDA เมื่อวันที่ 2 ต.ค. บอกว่า พื้นที่รับน้ำ มีน้ำท่วมขังแล้วรวมกันกว่า 386,005 ไร่ ยังเหลือพื้นที่รับน้ำอีก กว่า 845,400 ไร่
สถานการณ์โดยรวมยังไม่ถึงขั้นปี 2554 แต่แน่นอนว่า ปริมาณน้ำขนาดนี้ พื้นที่ลุ่มตามแนวลำน้ำต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมแน่นอน ดังนั้นระบบแจ้งเตือนน้ำล้นตลิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าข้อความเตือนผ่าน Cell Broadcast และ Line Aleart ต้องทำหน้าที่เตือนอย่างเต็มที่ เพื่อให้ประชาชน และ พื้นที่ที่อยู่ริมน้ำได้มีข้อมูลเฝ้าระวังและเตรียมพร้อมอย่างเต็มที่ รวมทั้งหน่วยงานท้องถิ่น ที่ต้องเตรียมเครื่องมือและเครื่องจักรให้พร้อมรับมือสถานการณ์น้ำ
ส่วนกลางโดย สนทช. ต้องบูรณาการข้อมูลแบบเรียลไทม์ เพื่อบริหารจัดการน้ำอย่างละเอียด วันนี้เรามี sensor หรืออุปกรณ์ตรวจวัดระดับน้ำครอบคลุมเกือบทั้งลุ่มน้ำ แต่บางครั้งการบริหารในระดับย่อย เช่น การเปิด-ปิดประตูน้ำย่อย ในพื้นที่คลองต่าง ๆ อาจทำให้เกิดน้ำน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่ในระดับตำบล หรือ หมู่บ้าน ซึ่งหากเพิ่มเติมอุปกรณ์ตรวจวัด หรือ ประสานข้อมูลถึงระดับย่อยในคลองต่าง ๆ ก็จะทำให้บริหารจัดการน้ำแบบไร้รอยต่อได้มากขึ้น ลดผลกระทบต่อประชาชนได้อีกมาก เรื่องนี้คงต้องฝากถึง รมต. ภารดร ที่เป็นผู้กำกับ สนทช.ดูว่าจะพัฒนาระบบให้ดีขึ้นอย่างไร
ระยะยาว คงหนีไม่พ้น การวางเส้นทางระบายน้ำออกทะเลเพิ่ม หรือ กักและผันน้ำไปใช้ในพื้นที่การเกษตรได้มากขึ้น เพื่อลดภาระของประชาชนที่อาศัยในพื้นที่รับน้ำโดยเฉพาะใน จ.อยุธยา เพราะมีเสียงสะท้อนจากในพื้นที่มาตลอดว่า ไม่อยากให้เห็นพื้นที่เช่น บางบาล หรือ ผักไห่เป็นพื้นที่รับน้ำตลอดไป
ข้อมูลจาก : คลังข้อมูลน้ำแห่งชาติ และ GISTDA